จะว่าไปแล้ว
หลักฐานทางดนตรีจากโลกโบราณก็ไม่ได้ถึงกับฝืดเคืองนัก เราอาจย้อนไปได้ไกล
ก่อนที่จะมีการพยายามอธิบายหลักเกณฑ์ของดนตรีโดยนักคณิตศาสตร์อย่างพิทากอ
รัสเสียอีก เช่น
บันทึกดินเหนียวของพวกยูการิตสมัยเมโสโปเตเมียที่บันทึกเพลงเก่าแก่เอาไว้
ถือเป็นหลักฐานของเพลงที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่เคยมีการบันทึกไว้
ซึ่งถ้าหากเราพิจารณาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้ดี ก็คงเห็นด้วยกับผมว่า
การที่เอะอะอะไรก็เอาเครดิตความรู้ต่างๆ ในโลก ซึ่งรวมไปถึงการดนตรีด้วย
อย่างเช่นความรู้เกี่ยวกับโหมดและเสกลทั้งหลาย ไปยกให้กับกรีกหมดนี่
ดูออกจะไม่เป็นธรรมนัก ยกตัวอย่างเช่น phrygian scale ที่เห็นชัดๆ
เลยว่าอิทธิพลมาจากอาหรับอย่างชัดเจน ดนตรีนั้น
น่าจะมีระบบพื้นฐานของมันมาตั้งแต่ก่อนยุคสมัยอียิปต์แล้ว.
เมื่อมนุษย์เชี่ยวชาญในศิลปะนี้มากขึ้น
พวกเขาก็เริ่มสร้างระบบให้กับดนตรี ซึ่งก็ไม่ได้เป็นทฤษฎีอะไรหรอก
เรื่องของทฤษฎีนี่
คนเราก็เพิ่งจะเริ่มมาชำระมาจัดระบบและเรียบเรียงกันก็ราวๆ
ยุคกลางเข้าไปแล้ว แรกๆ มันก็คงเกิดจากความบังเอิญ
ไม่ได้มีหลักการหรือวิศวกรรมอะไรมากำหนด ตอนนั้นยังไม่มีความรู้แบบนั้น
พวกเขาเอาไม้ไผ่มาเจาะทำขลุ่ย ก็เจาะรูไป ลองไปลองมา ชอบเสียงแบบเนี้ย ก็
เอาละ ฟังดูดีนี่ ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเรียกเสกลอะไร
ฟังไม่ดีไม่ชอบก็เจาะใหม่ จนกว่าจะพอใจ พอได้แล้วก็จำไว้ทำอันอื่นๆ
ต่อมาเรื่อยๆ ทีนี้เนี่ยะ พอใช้ไปนานๆ เข้าก็ชิน
หูของผู้คนในสังคมนั้นก็ชิน ก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด
พอต่างไปก็จะรู้สึกแหม่งๆ ไม่ได้ผิดนะ แต่มันไม่คุ้น แต่ละที่ก็ต่างกันไป
เพราะเรียนกันคนละโรงเรียนแล้วตอนนี้
แล้วต่างก็มีวิชามาอธิบายว่าเสียงนี้หมายถึงอะไร เป็นสัญญลักษณ์ของอะไร
เช่น นั่นธาตุไม้ นี่ธาตุน้ำ นี่เป็นเสียงของช้าง นั่นเสียงนกยูง
ปรุงแต่งจนกลายเป็นลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมไป ทำให้ฟังแยกได้ว่า อันนี้มัน
ไทยนะ นี่ชวา นี่มองโกเลีย...ฯ ตอนหลังถึงได้มาวิเคราะห์ว่า อ้อ มองโกเลีย
จะมีโน๊ตนี้โน๊ตนั้นนะ เป็นเสกลนี้เสกลนั้นนะ
เอาวิชาการสมัยใหม่มาอธิบายทีหลัง.
เสกลหรือมาตราเสียงที่มนุษย์ใช้กันมานาน
และเป็นที่รู้จักในการดนตรีทุกวันนี้นั้น มีหลายมาตราด้วยกัน
จากระบบที่น่าจะเป็นพื้นฐานแรกง่ายๆ ที่มีเพียง 5 เสียงต่อวงรอบอ๊อคเตฟ
(octave) ก็ยังมีระบบ 7 เสียง / ระบบ 12 เสียง / ระบบ 15 เสียง / ระบบ 19
เสียง / ระบบ 21 เสียง / ระบบ 22 เสียง / ระบบ 31 เสียง
มีความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
อย่างระบบดนตรีตะวันตกสมัยใหม่ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้
ก็คือระบบที่มีวงรอบ อ๊อคเตฟละ 12 ขั้นเสียง มีระยะห่างแต่ละขั้นเท่าๆ
กันคือหนึ่งเซมิโทน (semitone) รวม 12 ขั้นเสียง. ซึ่งถ้ามากกว่านั้น
ก็จะมีระบบแบ่งขั้นเสียงที่ละเอียดขึ้นไปมากกว่าหนึ่งเซมิโทน
เรียกกันว่าไมโครโทน (microtone). อย่างเช่นดนตรีอาหรับ
เป็นระบบเสียงที่หนึ่งวงรอบอ๊อคเทฟมี 24 ขั้นเสียง เป็นต้น..
ด้วยระบบเหล่านี้
แต่ละท้องถิ่นก็ได้เลือกใช้และพัฒนาเป็นรูปแบบมาตราหรือเสกลเสียงที่ต่าง ๆ
กันออกไป ซึ่งทำให้เกิดเป็นลักษณะเฉพาะของชนเผ่า แต่ขณะเดียวกัน
ก็ยังแสดงให้เห็นร่องรอยความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่มีส่วนสัมพันธ์ซึ่งกัน
และกันอยู่.
นำมาจาก http://www.usaasli.net/