ในความคิดของคนโบราณ
ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีวิญญาณมีเทพเจ้าอยู่ ในขุนเขา ป่าไม้ ในน้ำ ในดิน
ในไฟ ในอากาศ ในก้อนหิน และเพราะสังคมยุคโบราณแรกเริ่มนั้นเป็นสังคมนักล่า
พวกเขายังไม่มีเทคโนโลยีและความรู้อะไรมาก จึงอยู่อย่างเกื้อกูลกันกับสัตว์
และมีความยำเกรงต่อกันอยู่ ต้องพึ่งพาสัตว์เป็นอาหาร
ต่อเมื่อเริ่มเป็นสังคมกสิกรรมแล้ว
ขนาดของสังคมก็ใหญ่ขึ้นกลายเป็นชุมชนขึ้นมา
มีอาวุธที่ดีและความรู้ที่มากขึ้น อำนาจต่อรองของสัตว์ก็น้อยลง
แม้แต่สัตว์ใหญ่ที่น่ายำเกรงอย่างช้าง ยังถูกพิชิตและนำมาใช้งาน
เทพที่เป็นสัตว์ก็เริ่มสำคัญน้อยลง
แต่อำนาจที่ยังคงเอาชนะไม่ได้ก็คืออำนาจของฟ้าดิน ธรรมชาตินั่นเอง
เทพที่อยู่เบื้องบนก็มีจำนวนมากขึ้นและทวีความสำคัญขึ้นเป็นลำดับ
ฟ้าจึงเป็นใหญ่สุดในเทพดั้งเดิม เช่น เทพ เทียน (แปลว่าฟ้า) ของจีน, เทพ
อนู ของสุเมเรียน, เทพี นุท ของอียิปต์, ฟ้าเป็นมิต ของไท, ทยาอุส
ของอารยัน..ฯ ถัดมาก็เป็นเทหเทพอันได้แก่ อาทิตย์ จันทร์
และตามมาด้วยเทพแห่งดวงดาวต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมๆ
กับความรู้ในทางดาราศาสตร์และการทำปฏิทิน,
แล้วก็มีเทพแห่งฤดูกาลและเทพที่มีผลกับความอยู่ดีมีสุขของมนุษย์ทั้งหลาย
เช่น เทพแห่งการเพาะปลูก ล่าสัตว์ ที่อยู่อาศัย
พืชพันธุ์ธัญญาหารสารพัดชนิด ต่อมาเมื่อมนุษย์ปีกกล้าขาแข็งมากขึ้น
เก่งขึ้น รับมือธรรมชาติได้ดีขึ้น ก็เริ่มตีเสมอเทพ เริ่มสมมุติตนเป็นเทพ
ว่าเผ่าพันธ์ุบางเผ่าบางสกุลสืบสายมาจากเทพ เพื่ออำนาจการปกครอง
เพื่อความมั่งคั่งทางทรัพย์สินและผลเก็บเกี่ยว
(ด้วยเหตุนี้แหละรูปของเทพจึงเหมือนกับคน)
คราวนี้เทพก็เลยยิ่งออกลูกออกหลานกันบานตะไท ไม่รู้กี่องค์ต่อกี่องค์
ทั้งยังมีการผสมผสานอย่างพิสดารพันลึกออกไปอีก
เช่นเทพที่ผสมระหว่างคนกับเทพ เทพกับสัตว์ เทพกับมาร เทพกับพืช
เทพที่มีสองเพศ บรรพชนหรือวีรบุรุษที่ตายกลายไปเป็นเทพ
คนหรือสัตว์ที่บำเพ็ญตนจนกลายเป็นเทพ เทพที่ถูกลดชั้นลงเป็นมาร โอ๊ย..
มีหลายตำราหลายคติ ให้นักวิชาการมานั่งปวดหัวเรียนกันเป็นอีกวิชาหนึ่งไป.
เทพทั้งหลายเหล่านี้แหละ ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามปรัมปราคติ ควบคู่ไปกับจักรวาลทัศน์และชีวทัศน์ที่เราได้พูดถึงไปแล้ว.
ของไทเรา
นอกจากเทพหรือสางในคติไทเก่าแก่อย่างเช่น ฟ้าเป็นมิต ฟ้าเหมยนายเต้าหว่าน
สายฟ้างำ...ฯ รวมทั้งทิพยบรรพชนต้นพงศ์วงศา อย่างขุนหลวง
ขุนลายที่ไต่ฟ้าลงมาปกครองโลก ก็ยังมีคติฮินดูอย่างเช่น พระพรหม พระวิษณุ
พระศิวะ แล้วก็ยังเทวดาและเทวีอีกหลายต่อหลายโหลผนวกกันเข้ามา เช่น
พระอินทร์ พระวรุณ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี
พระศุกร์ พระเสาร์ พระเกตุ พระยม พระสมุทร พระพาย พระอัคนี พระมารุต พระมนู
หรือ เทวีอย่างเช่นพระแม่ธรณี พระแม่โพสพ พระแม่คงคา..ฯลฯ
รับรองว่าไม่น้อยหน้าคติอียิปต์หรือกรีกก็แล้วกัน.
นักวิชาการศาสนามีความเชื่อว่าทุกศาสนาที่มีคติ
“พระเป็นเจ้าสูงสุดหนึ่งเดียว” มีรากฐานมาจากศาสนาเดียวกัน
ความรู้ใหม่ที่บอกเราเกี่ยวกับพันธุกรรมนั้น
ยังเปิดประตูใหม่ให้เรามองหาความเชื่อมโยงของศาสนาทุกศาสนาในโลก
ไปหาศาสนารวมดั้งเดิมของโลก (global early religion)
ที่นักวิชาการสันนิษฐานกันว่าเหลือร่องรอย
อยู่ในศาสนาเก่าแก่ในแอ๊ฟริกาที่เรียกกันว่าอิฟา (Ifa)
จะมียกเว้นก็เพียงศาสนาพุทธที่ไม่มีพระเจ้า
และนักวิชาการต่างก็ลงความเห็นว่าเป็นปรัชญา
เป็นองค์ความรู้มากกว่าเป็นศาสนา ผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์
แท้จริงแล้วนั้น พระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ท่านยังคงเป็นพระเจ้าองค์เดิมหนึ่งเดียวเสมอมา ไม่ว่าจะเป็น Olodumare,
Kaang, พระยะโฮวา, พระอัลเลาะฮุ์, ปรมาตมัณ, เทียนตี่, หรือฟ้าเป็นมิต..ฯ
มีเพียงแต่เราเท่านั้นแหละที่ตาถั่ว
มองเห็นท่านในใบหน้าที่แตกต่างกันออกไปเอง
แล้วก็นำมาซึ่งความขัดแย้งไม่รู้จักจบสิ้น ก็เนื่องด้วยจิตใจที่คับแคบ
โง่เขลา อคติและมืดบอดนั่นแหละ ด้วยทัศนะส่วนตัวของผม นี่ไม่มีปัญหาซักนิด
ผมใช้พุทธปรัชญาในการดำเนินชีวิต ใช้เป็นความรู้นำทาง
ขณะเดียวกันผมก็กราบพระเจ้าทุกองค์ที่มีชื่อเรียกขานกันในโลกนี้ได้
อย่างบริสุทธิ์ใจ และจะไม่รู้สึกลำบากใจด้วย ถ้าเพียงแต่เราคิดเสมอว่า
ก็ไหว้พระเจ้าองค์นั้นแหละ ที่มองดูเราอยู่เสมอ
องค์เดียวกันและไม่เคยเปลี่ยน ถอยก้าวหนึ่งสิเพื่อนเอ๋ย..
ในท่วงทำนองแห่งเสียงนั้น
ก็มีสัญลักษณ์และนัยยะความหมายอยู่เช่นกัน ในการตีความโดยสากล
บางคนอาจรู้จักหรืออาจเคยได้ยินมาบ้าง เช่น
ทำนองของเมเจอร์เสกลให้ความรู้สึกอันเป็นสุข เป็นทัศนะในทางบวก
เรารู้สึกเศร้าสร้อยเมื่อได้ยินท่วงทำนองที่เป็นไมเนอร์
ความรู้สึกหวนอาลัยแบบเมโลดิกไมเนอร์ ความร้อนแรงของไฟรักในโหมดฟรีเจี้ยน
ความสงบสมถะของเพนทาโทนิกเสกล
ความไพเราะอย่างมีมนต์ขลังของทำนองแบบเปอร์เซียน
ไม่เพียงแค่ความหมายเหล่านี้ เท่านั้น
ยังมีคติที่แสดงสัญลักษณ์ของเสียงที่จำเพาะเจาะจงอีกมากมาย
อย่างในดนตรีของอินเดียเป็นต้น มีเสกลมากมายหลายเสกลหรือหลายทาง
ที่เรียกกันว่ามูรชนา และท่วงจังหวะอีกนับไม่ถ้วน
ที่มีความหมายและจุดประสงค์เฉพาะต่างกันไป เช่น
ทางที่ใช้สำหรับบรรเลงก่อนพระอาทิตย์ตก หรือสำหรับหลังพระอาทิตย์ตก
หรืออย่างเช่น เพลงสวดในพระเวท จะใช้เสกลที่เรียกว่า อูฑวะ
ซึ่งประกอบด้วยเสียงเพียงห้าเสียงเท่านั้น.. เป็นต้น
เป็นที่รู้และเล่าเรียนกันมาว่า
ไทยเรานั้นรับเอาคติและจารีตทางดนตรีของอินเดียมาใช้ เช่น
เสียงทั้งเจ็ดที่จัดลำดับก็เรียกตามระบบอินเดีย คือ
สา : สัทชะ คือเสียงของนกยูง
ริ : ริชะภะ คือเสียงของโค
กา : คานธรวะ คือเสียงของแพะ
มา : มัธยมะ คือเสียงของนกกระเรียน
ปา : ปัญจมะ คือเสียงของนกกาเหว่า
ธา : ธวตะ คือเสียงของม้า
นิ : นิษาท คือเสียงของช้าง
(ถ้าสังเกตุให้ดีจะรู้สึกคุ้นๆ ที่เขาว่าคารมดี เพราะมี “สาริกา” ลิ้นทอง... ผมว่าได้คติมาจากเสียงสามเสียงแรกนี่แหงๆ เลย)
แต่แม้ว่าจารีตที่เราได้รับมาจะเป็นอินเดีย แต่ผมว่าสุ้มเสียงของดนตรีไทยก็ไม่ได้เป็นแขกไปด้วยนะ ออกจะไปทางชวาบาหลีเมื่อมองดูและออกผสมไปทางจีนอีกนิดหน่อยเมื่อฟัง
ผมว่าเส้นทางอพยพนี่บอกเราบางอย่างได้
อย่างที่ผมเรียกว่าจุดปะทะอินดัสชิโนออสโตร นั่นแหละ
ผมว่าคนไทแต่ดั้งเดิมรากของเสียงเป็นเพนทาโทนิก ที่จุดปะทะนี้
ดนตรีชั้นสูงในราชสำนักรับเอาหลักการและจารีตแบบอินเดียมา
แต่มีนิสัยมีสุ้มเสียงแบบซุนดา
ที่ถูกทำให้กลมกล่อมและเทนชั่นน้อยลงด้วยลักษณะไท (และจีนใต้) แบบดั้งเดิม
แต่เมื่อฟังเพลงพื้นบ้านของชาวบ้าน จะมีแต่เพนทาโทนิกเป็นหลัก
และก็กลมกล่อมเรียบง่ายเสมอ ไม่ซับซ้อนอะไร อันนี้ขอหยอดไว้ก่อนสองสลึง
ไว้ให้สานกันต่อทีหลัง.
ในคติจีน ก็มีสัญลักษณ์อยู่ในเสียงแต่ละเสียงเหมือนกัน เช่นในบันไดเสียงห้าเสียง ที่เป็นเสกลหลักของจีน คือ
宮 gong (โด) สีเหลือง คือศูนย์กลาง เสียงแห่งธาตุดิน
商 shang (เร) สีขาว คือด้านตะวันตก เสียงแห่งธาตุโลหะ
角 jué (มี) สีเขียว คือด้านตะวันออก เสียงแห่งธาตุไม้
徵 zhǐ (ซอล) สีแดง คือด้านใต้ เสียงแห่งธาตุไฟ
羽 yǔ (ลา) สีน้ำเงิน คือด้านเหนือ เสียงแห่งธาตุน้ำ
http://www.usaasli.net/
ตอบลบ